คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
เรียน สมาชิกหมายเลข 1967358
ขออนุญาตตอบเป็นขัอ ๆ ดังนี้นะครับ
1. ในทางกฏหมายกำหนดให้บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ ดังนั้น หากคุณยังเป็นผู้เยาว์สิทธิในการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาตามบันทึกใบหย่า ก็ยังสามารถเรียกร้องได้
2. เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ผู้ที่จะได้รับทรัพย์มรดกนั้นได้แก่ ทายาทโดยธรรม ซึ่งมีด้วยกันหกลำดับชั้น คือ
(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
(5) ปู่ ย่า ตา ยาย
(6) ลุง ป้า น้า อา
ซึ่งภรรยาใหม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ถือเป็นทายาทของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิได้รับมรดก เว้นแต่ทรัพย์สินที่ผู้ตายและภรรยาใหม่ได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกัน ถือว่าทรัพย์สินส่วนนี้ภรรยาใหม่ย่อมมีกรรมสิทธิ์และมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม
3. บุตรของภรรยาใหม่ ไม่ได้เป็นบุตรที่เกิดจากบิดาของคุณกับภรรยาใหม่ ไม่ถือเป็นทายาทจึงไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกหากบิดาของคุณเสียชีวิต
4. กรณีมารดาแม้จะจดทะเบียนหย่าขาดจากบิดา (ผู้ตาย) แล้วแต่ก็ยังเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์บุตรของผู้ตาย และเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อยู่ คงจะต้องระวังรักษาผลประโยชน์ของผู้เยาว์ไว้ให้ดีที่สุด ย่อมรู้เบาะแสช่วยสืบหามรดกของผู้ตายได้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่เป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกได้ จึงสามารถตั้งมารดาของคุณเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
5. การที่คุณจะเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้น จะต้องบรรลุนิติภาวะ (มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์),ไม่เป็นคนวิกลจริต,ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ,ไม่เป็นคนล้มละลาย ซึ่งหากคุณยังไม่บรรลุนิติภาวะ คืออายุยังไม่ 20 ปีบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้ จึงสมควรที่จะให้มารดาเป็นผู้จัดการมรดก
Bunyakiat
ขออนุญาตตอบเป็นขัอ ๆ ดังนี้นะครับ
1. ในทางกฏหมายกำหนดให้บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ ดังนั้น หากคุณยังเป็นผู้เยาว์สิทธิในการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาตามบันทึกใบหย่า ก็ยังสามารถเรียกร้องได้
2. เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ผู้ที่จะได้รับทรัพย์มรดกนั้นได้แก่ ทายาทโดยธรรม ซึ่งมีด้วยกันหกลำดับชั้น คือ
(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
(5) ปู่ ย่า ตา ยาย
(6) ลุง ป้า น้า อา
ซึ่งภรรยาใหม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่ถือเป็นทายาทของผู้ตาย จึงไม่มีสิทธิได้รับมรดก เว้นแต่ทรัพย์สินที่ผู้ตายและภรรยาใหม่ได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกัน ถือว่าทรัพย์สินส่วนนี้ภรรยาใหม่ย่อมมีกรรมสิทธิ์และมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วม
3. บุตรของภรรยาใหม่ ไม่ได้เป็นบุตรที่เกิดจากบิดาของคุณกับภรรยาใหม่ ไม่ถือเป็นทายาทจึงไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกหากบิดาของคุณเสียชีวิต
4. กรณีมารดาแม้จะจดทะเบียนหย่าขาดจากบิดา (ผู้ตาย) แล้วแต่ก็ยังเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์บุตรของผู้ตาย และเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อยู่ คงจะต้องระวังรักษาผลประโยชน์ของผู้เยาว์ไว้ให้ดีที่สุด ย่อมรู้เบาะแสช่วยสืบหามรดกของผู้ตายได้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่เป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกได้ จึงสามารถตั้งมารดาของคุณเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
5. การที่คุณจะเป็นผู้จัดการมรดกได้นั้น จะต้องบรรลุนิติภาวะ (มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์),ไม่เป็นคนวิกลจริต,ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ,ไม่เป็นคนล้มละลาย ซึ่งหากคุณยังไม่บรรลุนิติภาวะ คืออายุยังไม่ 20 ปีบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้ จึงสมควรที่จะให้มารดาเป็นผู้จัดการมรดก
Bunyakiat
แสดงความคิดเห็น
ว่าด้วยเรื่องมรดก เมียหลวง และเมียน้อย
เพิ่มเติม* พ่อทำงานรับจ้างด้วยตนเอง ภรรยาใหม่หาเงินรับจ้างด้วยตนเอง บ้านและรถเป็นทรัพย์สินหลังอยู่กินด้วยกัน
**ปู่เสียชีวิตแล้ว ย่ายังมีชีวิตอยู่
อยากถามว่า
1.ตอนนี้นานมาแล้วถ้าจะเรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูที่เคยสัญญากันไว้จะทำได้มั้ย (แต่ไม่เรียกร้องหรอก ยังไงก็ลูก ถามเป็นความรู้)
2.ถ้าพ่อเสียชีวิต ใครบ้างที่มีสิทธิ์จะได้ทรัพย์สินทั้งหมด ภรรยาใหม่ที่อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและตัวภรรยาเองก็ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมายของไทยจะได้อะไรมั้ย
3.ลูกของภรรยาใหม่ที่อยู่กินกับพ่อมีสิทธิ์ในทรัพย์สินมั้ย
4.ถ้าเราจะขอให้แม่เป็นผู้จัดการมรดก โดยมีเราและพี่สาวเราที่เป็นทายาทโดยชอบธรรมเป็นผู้ยื่นขอจะทำได้มั้ยเพราะพ่อกับแม่ก็หย่ากันแล้วถือว่าไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ย่าไม่ได้เป็นพยานแต่ไม่ขัดข้อง มีเพียงเราและพี่ที่เป็นพยาน จะได้มั้ย
5.หรือถ้าเราจะขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยมีพี่สาวและย่าเป็นพยาน จะดีกว่ามั้ย